วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

My Idol

                                                     สมคิด ลวางกูร

ประวัติและเรื่องราวที่น่าสนใจ>>>>>>
           



               เกิดที่กรุงเทพฯ โรงพยาบาลหญิง แต่ไปโตที่สุพรรณบุรีมีน้อง 2 คน พ่อตาย ฐานะทางบ้าน ยากจนมาก แม่ เป็นพนักงานโรงงานทอผ้า หาได้ ไม่พอให้ลูกกิน

ผมเลยต้องไปอยู่วัด อาศัยพระกิน ตั้งแต่อายุ 2 ขวบ น้อง 2 คน ไปอยู่กับยายที่สุพรรณ วัดบ้านนอก อาหารการกิน ไม่สมบูรณ์ พระต้องฉันครึ่งท้อง เหลือไว้ให้เด็กวัด ครึ่งท้อง น้อยมื้อ น้อยวัน ที่ได้กินข้าวอิ่มครบ 3 มื้อ

เรื่องขนม นมเนย หรืออาหารรสชาติพิเศษไม่ต้องพูดถึง ไม่มีโอกาสตกถึงลำไส้มีสิทธิ์แค่ ยืนมองเขากิน แล้วทำท่า น้ำลายไหล บางครั้งทนอยากไม่ไหว เก็บลูกชิ้นที่เขาทำตกพื้นเอามือปัดเศษดินออก แล้วแอบกิน

ผมชอบยืนมองเครื่องบิน ไม่ใช่หมาเห็นเครื่องบินแต่เป็นเด็กวัดเห็นเครื่องบินใฝ่ฝัน อยากเป็นสจ๊วต อยากเป็นนักบินอยากทำงานบนเครื่องบิน อยากพูดภาษาอังกฤษได้อยากไปเที่ยวต่างประเทศ

สุดท้าย มานั่งคิดว่าถ้ายังขืนวิ่งเล่น สนุกสนานอย่างนี้ต่อไปอนาคตคงต้อง เลี้ยงควายแน่เลยตัดสินใจว่า จะบวชเณร แล้วเรียนทางธรรม

กำลังเตรียมตัวจะบวช พอดี เจ้าอาวาสอีกวัดหนึ่ง มาเจอเข้าถามว่า อยากเรียนต่อไหมที่วัดของท่าน เพิ่งเปิดชั้น ป.5 ปีนี้เป็นปีแรก นักเรียนมีน้อยผมบอกว่า ไม่มีตังค์ท่านบอกว่า จะส่งให้เรียนเองผมตอบแบบไม่ต้องคิด ไป

เป็นเด็กต่างถิ่น ข้ามถิ่นมาคนเดียวถูกเจ้าถิ่นรังแก พาพวกมาชกกันแทบทุกวันปากแตก หน้าตาบวมปูดแรก ๆ กลัว ชกบ่อย ๆ เข้า หายกลัวแรก ๆ เจ็บ ชกบ่อย ๆ เข้า กลายเป็นมันช่วงหลังรู้สึกสนุกที่ได้ชกหน้าคน

ช่วงนั้น ต้องรับจ้างเขาตักน้ำเลี้ยงหมูได้วันละ 50 สตางค์เป็นกระเป๋าสองแถว ช่วยขนของแบกของในวันเสาร์ อาทิตย์ ได้วันละ 2 บาท

พอขึ้น ป.7ตัดสินใจ เป็นนักมวย ขึ้นชกมวย ได้ครั้งละ 20 บาทส่งเงินให้แม่ เพื่อส่งให้น้องเรียนชกมวยอยู่ 4 ปี ไม่บอกให้แม่รู้แม่สงสัยว่า ไปเอาเงินมาจากไหนบอกว่า รับจ้างเป็นกระเป๋ารถสองแถว

3
ปีหลัง ต้องไปเรียนในตัวอำเภอซ้อมมวยเสร็จ ไม่มีรถกลับต้องวิ่งกลับวัด วันละ 6 กิโล ทุกวัน

ซ้อมมวยเสร็จ 6 โมงครึ่ง กลับถึงวัดเกือบ 2 ทุ่มข้าวเพื่อนเก็บไว้ให้ บูด เน่า หมดแล้วต้องเอาไปล้างน้ำ เอายางเหนียว ๆ ออกสรงให้แห้ง เอาน้ำปลาราดแกง เลือกเฉพาะเนื้อ และผัก ล้างน้ำ เอามาคลุกข้าวกิน ด้วยความอร่อยบางวัน มีแต่ข้าว ไม่มีแกงต้องไปเก็บผักบุ้งในนา มาจิ้มน้ำปลากิน

ตอนลำบากสุด ๆ บอกกับเพื่อนว่า มึงจำคำพูดของกูไว้กูจะมีเงินล้านให้ได้ ก่อนอายุ 25 ปี เพื่อนหัวเราะ เยี่ยวแตกเยี่ยวแตนข้าว ยังไม่มีจะกิน ฝัน จะมีเงินล้าน เออ มึงจำคำพูดกูไว้ ก็แล้วกัน

ออกจากวัด เมื่ออายุ 17 ปี จบ มศ.3 รวมอยู่วัดทั้งสิ้น 15 ปีเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ตั้งใจว่าจะไปสมัครเข้าค่ายมวย พรทวี ตอนนั้น วิชาญน้อย พรทวี กำลังดังมาก

แต่วันหนึ่ง ก่อนเข้ากรุงเทพฯ ไปชกมวยงานสงกรานต์ที่เวทีชั่วคราว ข้างบ้าน น้องชายมาเห็นเข้า ไปตามแม่มาดู แม่เอาไม้มาไล่ตีผมกำลังชกอยู่บนเวที ก็ชกด้วย วิ่งหนีไปด้วยแม่ตีผมไม่ได้ ก็ไล่ตีครูมวย พี่เลี้ยงพอลงจากเวที แม่ขอร้องให้เลิกชกแม่บอกว่า แม่เลี้ยงลูกของแม่มาถนอมเหมือนไข่ในหิน ยุงสักตัว แม่ก็ไม่ให้กัดนี่มาเห็นคนอื่น เขาชก เขาต่อย เห็นเขาทำร้ายลูกของแม่แล้วแม่ใจจะขาด แม่ทนดูไม่ได้ ขอร้องให้ผมเลิก

มวย เป็นกีฬาที่ผมรักที่สุดในชีวิตตั้งความหวังว่า จะไปให้ถึง แชมป์โลกเป็นวิธีเดียว ที่จะทำให้คนจน รวยได้ โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนแต่ ผมกลัวแม่เสียใจ เลยเลิกชกมวยตั้งแต่วันนั้น

ไปสมัครงาน เป็นพนักงานเสิร์ฟ ตามสวนอาหารขอทำงานเฉพาะกลางคืน กลางวันจะเรียนไม่มีใครเขารับ ต้องขอว่า ไม่รับเงินเดือนขอกินอาหารฟรี และขอทิปที่แขกให้เท่านั้นพอ ถึงได้งานทำแล้วจึงไปสมัครเรียนหนังสือ

ต้องขยันสุด ๆ ถึงจะได้ทิปวันละ 25 – 30 บาทบางวันฟลุก ก็ได้ถึง 50 บาท 70 บาทค่าเช่าบ้าน ค่ารถ ค่ากิน ค่าเทอม ไม่พอต้องกลับไปวัด ไปของเงินหลวงพ่อ มาจ่ายค่าเทอมอีกไม่มีเงินส่งน้องเรียนช่วงที่ยากจนสุด ๆ เคยแย่งอาหารจากหมากิน

เปลี่ยนงาน ไปเสิร์ฟในอาบอบนวด ได้เงินมากกว่าเหมือนเดิม คือ ขอทำงานเฉพาะกลางคืน ไม่เอาเงินเดือนขยันเต็มที่ ได้ทิปวันละ 200 – 300 บาทศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ได้ 500 บาทได้เงินส่งให้แม่ เป็นกอบเป็นกำซ่อมแซมบ้านใหม่ สร้างห้องน้ำใหม่ซื้อของใช้จำเป็น ซื้อเสื้อผ้าให้น้อง ชีวิตเริ่มดีขึ้นดีได้ไม่นาน สังคมตรงนั้น มีแต่อบายมุขภูมิต้านทานจากการอยู่วัด 15 ปี ต้านทานอยู่ได้แค่ 2 ปี

หลังจากนั้นผมติดเหล้า ติดการพนัน เที่ยวกลางคืน ผู้หญิงเพียบคบเพื่อนนักเลง อยู่ในดงนักเลง กินเหล้าวันละกลม ทุกเย็นบ่าย 3 โมง ไม่ได้กินเหล้า มือสั่น ความเลวทุกชนิด ทดลองหมด

เช้าไปเรียน บ่ายซ้อมกีฬาเป็นนักกีฬาเซปักตะกร้อของโรงเรียน ได้รองแชมป์ กทม.เย็นทำงาน 5 ทุ่มเมา เที่ยวจนถึงตี 3นอน ไม่เคยเป็นที่ แล้วแต่วันไหนใครจะลากไปไหนเช้าตื่น 6 โมงเช้า ไปเรียนหนังสือ

ช่วงหนึ่งแม่ทนเห็นสภาพอย่างนี้ไม่ได้โทรตามให้ไปคุยด้วย ผมไปพบแม่ทุกครั้งที่โทรมาแต่ทุกครั้งที่ไปหาแม่ ตลอด 3 ปีเต็ม ๆไม่เคยคุยกับแม่รู้เรื่อง เพราะเมา ยืนไม่อยู่แม่เห็นสภาพ ร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดเห็นน้ำตาแม่ แล้วสงสารและเสียใจ ที่ทำให้แม่ต้องร้องไห้ตั้งใจเลิกทุกอย่าง กลับมาเป็นคนดี

แต่เลิกได้ไม่เกิน 1 อาทิตย์ เพื่อนมาลากเข้าวงอีกจนได้ใช้เวลาเลิกอยู่ 3 ปี ไม่สำเร็จสุดท้าย ตัดสินใจ สมัครเป็นทหารเกณฑ์อยู่ในกรมทหาร 3 เดือน ช่วงเป็นทหารใหม่ออกไปไหนไม่ได้ คงเลิกอบายมุขทั้งหมดได้เขาส่งไปประจำที่ ม.พัน 4 รอ เกียกกายเพราะมาอยู่ที่นี่ จึงทำให้รู้จักพ.อ. มนูญ รูปขจร ผู้บังคับกองพัน ได้ดีนับถือน้ำใจของ นายทหารม้าคนนี้และเข้าใจ ว่าทำไมลูกน้องถึงรักทุกคนขนาดไม่คุมอำนาจแล้ว ลูกน้องยังยกกำลัง ไปช่วยปฏิวัติ

ฝึกเสร็จ 3 เดือน พอดีช่วงนั้น เขมรแตกผู้บังคับกองร้อย เรียกไปเซ็นพินัยกรรมถามว่า ถ้าเราตาย มรดกที่มีทั้งหมดมอบให้ใครถูกส่งไปอยู่ชายแดน สระแก้วกลางคืน มีเสียงปืนกล่อมนอนตลอดคืน

นั่งคิดว่า เรานี่ ทำไมมาตายตั้งแต่ยังหนุ่มแต่ก็มาด้วยความยินดี และเต็มใจนะเพราะ ได้รับการปลุกใจว่า เรามาตาย เพื่อชาติตายอย่างวีรบุรุษ ตายอย่างผู้กล้าเราตาย เพื่อให้พี่น้องของเรา อยู่อย่างมีสุขชายชาติทหาร ตายเสียดีกว่าอยู่อย่างผู้แพ้รู้สึกมีเกียรติ ชีวิตมีค่า

ผมยังจำได้แม่นยำ จนถึงบัดนี้คนที่ปลุกให้พวกเราฮึกเหิมยอมตาย และเต็มใจมาตายเพื่อชาติได้ คือ ร.ท. อุเทน ทับโพธิ์ สุดยอดจริง ๆ

อยู่ชายแดนได้ไม่ถึงเดือนผมถูกเรียกตัวกลับมากรุงเทพฯ อยู่สาย 4 ส่งกำลังบำรุงคอยทำหน้าที่ส่งอาวุธ และอาหาร ให้หน่วยที่อยู่ชายแดนเจ้านายรักมาก เข้าใจคน ทำงานดี รวดเร็วทำเรื่องขอบรรจุ และแต่งตั้งยศให้

ช่วงนั้น แม่ ไปทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กและทำครัวให้เลขาผู้อำนวยการใหญ่ ของการบินไทยเจ้านายมาถามแม่ว่า 
ลูกชายเรียนจบหรือยัง 
จบแล้วค่ะ
เข้าการบินไทยไหม เขากำลังเปิดรับสมัคร
แม่ไม่ถามผมสักคำ ตอบตกลงทันที

ผมไปสอบที่การบินไทยเขาเห็นว่าผมมีประสบการณ์ด้านอาหารมาเกือบ 10 ปีเลยส่งไปอยู่แผนก ครัวการบิน

เลยต้องระงับเรื่องการขอแต่งตั้งยศและอำลาชีวิตทหาร ซึ่งผมรักมากมาอยู่กับ เจ้าจำปี การบินไทย

ตอนนั้น โก้มากพนักงานการบินไทยน่าจะมีประมาณแค่ 4 – 5 พันคน คน 60 ล้าน เราเป็น 1 ใน 5 พันคน พอมีจำปีติดหน้าอก อะไรก็ดูดีไปหมด สาว ก็ไม่ต้องจีบ มาจีบเราเองไปไหน คนก็ให้เกียรติ ยินดีต้อนรับน้องสาว น้องชายทั้ง 2 คน พอเรียนจบ ก็เข้าการบินไทย ตามไปตกลง ลูกคนรับใช้ ยากจน ได้ทำงานการบินไทย ทั้ง 3 คนนี่แหละ บารมีแม่ มือที่แม่ปั้น

ผมทำที่การบินไทยได้ 2 ปี สแกนดิเนเวียนแอร์ไลน์ ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงให้การบินไทยอยู่ 20 ปี ตั้งแต่ตอนที่เปิดสายการบินใหม่ หมดสัญญากับการบินไทยพอดี ประกาศรับทีมงาน ไปบริหารสนามบิน ที่เปิดใหม่ ทั่วโลก

ตอนนั้น สแกนดิเนเวียน ได้ชื่อว่า เป็นบริษัทที่บริหารสายการบิน และโรงแรมที่เก่งที่สุดในโลก มีระบบที่ดีที่สุดในโลกขณะที่เป็นพี่เลี้ยงการบินไทย2 ปีที่ผมอยู่ การบินไทยติด 1 ใน 3 ของโลกทั้ง 2 ปีเป็นแอร์ไลน์ที่ดีที่สุด 1 ใน 3 ของโลก

ผมอยากรู้ อยากได้ประสบการณ์การบริหารแบบมืออาชีพว่าเขาทำกันยังไง ถึงดีที่สุดในโลก เก่งที่สุดในโลกอยากเป็นนักบริหารมืออาชีพ อยากเป็นคนเก่งกับเขาบ้างเลยลาออกจากการบินไทยไปอยู่กับ SAS ประจำอยู่ต่างประเทศ 6 ปีได้ประสบการณ์เพียบเข้าไปวางแผนและบริหารสนามบินใหม่ใหญ่ที่สุดในโลก 2 สนามบิน ได้รับคำยกย่องชมเชย มากมายเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง เลื่อนเงินเดือนบ่อยมากจนต้องขอร้องให้หยุด เพราะมีปัญหาเรื่องภาษา

ตลอด 6 ปี ใช้เงินน้อยมาก เพราะบริษัทมีสวัสดิการ ดีมากเสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย อาหารการกินท่องเที่ยว พักผ่อน จ่ายให้หมด เลยไม่ต้องใช้เงินแม่ ส่งน้ำพริกเผาไปให้ตลอดให้น้องสาว ฝากเครื่องบินไปให้พออายุ 25 ปี มีเงินสดในธนาคารครบ 1 ล้านบาทพอดีกับบ้าน 1 หลัง รถยนต์ 1 คันทนคิดถึงบ้านไม่ไหวประกอบกับ อยากมีครอบครัว จึงลาออก

สรุปว่า ที่ตั้งเป้าชีวิตไว้ 4 อย่าง คืออยากเป็นสจ๊วต กัปตัน ทำงานบนเครื่องบินไม่ได้เป็น แต่ได้ทำงานสายการบิน ทำงานอยู่กับเครื่องบิน

อยากพูดภาษาอังกฤษได้ก็พอพูดรู้เรื่อง ไปหากินต่างประเทศได้

อยากไปเที่ยวต่างประเทศได้ไป 4 – 5 ประเทศ ในขณะทำงานสายการบิน

อยากมีเงิน 1 ล้านบาท ก่อนอายุ 25 ปี
ได้ครบ ตามที่ตั้งเป้าไว้

ตอนที่หนีออกมาจากอาบอบนวด ปฏิญานกับตนเองไว้ว่าจะไม่ถูกต้องตัวผู้หญิง และเหล้าเลย 4 ปี ปรากฏว่า เลยกำหนดที่ปฏิญานไว้ 4 ปี นี่ 8 ปีแล้ว ไม่เคยผ่านมือหญิงใดอีกเลยเจ้าหน้าที่สายการบิน แอร์โฮสเตส มาทอดสะพานให้เยอะแต่ใจแข็ง ไม่อยากให้แม่เสียใจจนถึงขณะนี้ เหล้า บุหรี่ การพนัน เที่ยวเตร่หยุดหมด

กลับมาถึงกรุงเทพฯ เบื่อสังคมเข้าไปอยู่ป่า เงียบ ๆ ที่หลังเขาเมืองกาญจน์ 3 ปีจากนั้น จึงมารับจ้างบริหาร วางระบบและแก้ปัญหาให้กับบริษัทหรือองค์กรที่มีปัญหา

ในช่วง 10 ปีหลัง เป็น GM ให้กับหลายบริษัทวางระบบ ทำแผน และบริหารเพิ่มยอดขาย จากปีละ 25 ล้าน เป็น 100 กว่าล้านจากเดือนละ 13 ล้าน เป็นเดือนละ 75 ล้านเอาประสบการณ์จาก SAS มาประยุกต์ใช้ประสบความสำเร็จ สูงมากรับเงินเดือน เดือนละค่อนแสน ตอนนั้นก๋วยเตี๋ยวเรือชามละ 2 บาทเมื่อตอนอายุ 30 ต้น ๆ ปี 2532ทำให้แม่ภาคภูมิใจ และมีความสุขมากคุยไปทั่วจังหวัดสุพรรณบุรี

แต่การตั้งเป้าที่สูงมาก ถึงแม้จะเป็นความท้าทายแต่ผลเสียก็มีตามมา คือ ผมต้องทำงานหนักมากเช้า ประชุมตามงานให้เป็นไปตามแผนบ่าย ประชุมกับหน่วยงานภายนอก เย็น เซ็นเอกสาร กลางคืน ปรึกษางานกับเจ้าของบริษัท กลับถึงบ้าน 5 ทุ่ม อาบน้ำเสร็จ เอาแผนมานั่งดูวางแผน เขียนแผน ปรับแผน จนถึงตี 2 ตี 3 จึงเข้านอนเป็นอย่างนี้ทุกวัน

แล้วที่สำคัญ เดินทางเยอะมากต้องเดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศไม่ได้หยุดได้หย่อน จนเห็นเครื่องบินแล้วอยากจะอ้วกมีความรู้สึกว่า ตัวเองใช้ชีวิต ทารุณเกินไป
ขืนทำงานอย่างนี้ คงอยู่ได้อีกไม่เกิน 10 ปีจึงตัดสินใจ หยุดออกมาทำธุรกิจของตัวเอง เอาแค่พอกิน ไม่อดตายแต่ชีวิตมีความสุข พอแล้ว

ออกมาเปิดบริษัท ทำเทปเพลงอยู่ระยะหนึ่งแล้วเปลี่ยนไปทำทอล์กโชว์สร้างนักพูด จนโด่งดังหลายคนเช่น พ.อ.นพ. พงศักดิ์ ตั้งคณา นพ. สุกมล วิภาวีพลกุล 2 ทนายซ่าส์ ทนายวันชัย สอนศิริ ทนายประมาณ เลืองวัฒนะวณิช

ตอนนี้ อยากเกษียณตัวเอง เลยมานั่งเขียนหนังสือ ตอนเย็นก็เล่นกีฬา แบดมินตัน มีความสุขดีอนาคต จะเป็นตัวกำหนด ถ้าเขียนหนังสือ แล้วไม่อดตาย จะทนเขียนต่อไป

นี่คือประวัติ แบบย่อที่สุดในชีวิต 




คติสอนใจ

นิทานเรื่อง เเม่มด

กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว.....
อาเธอร์ถูกจับและจะประหารชีวิต
แต่กษัตริย์เสนอให้เขาเป็นอิสระ
ถ้าหากเขาสามารถตอบปัญหาแสนยากข้อหนึ่ง ได้ถูกต้อง

อาเธอร์มีเวลาหาคำตอบ 1 ปีเต็ม ถ้าเขาตอบไม่ได้
เขาก็จะถูกประหาร 'คำถามนั้นคือ ....
"สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ คืออะไร ?'

ปัญหาดังกล่าวช่างยากเย็นจนแม้นักปราชญ์ที่ฉลาดก็ยังงุนงง
เขากลับไปยังอาณาจักรของเขาและ เริ่มหาคำตอบจากทุกผู้คน
แต่ไม่มีใครให้คำตอบที่น่าพอใจได้
คนส่วนมากจะแนะนำให้เขาไปปรึกษาเรื่องนี้กับยายแม่มดแก่
ซึ่งน่าจะเป็นผู้เดียวที่จะรู้คำตอบ แต่ราคาค่าปรึกษาคงจะแสนแพง

แล้ววันสิ้นปีก็มาถึง
อาเธอร์ไม่มีทางเลือกอื่น

แม่มดตกลงจะให้คำตอบแต่อาเธอร์ต้องยอมรับเงื่อนไขแลกเปลี่ยนก่อน
นังแม่มดต้องการแต่งงานกับกาเวน
อัศวินผู้ทรงเกียรติสูงสุดของ เหล่าอัศวินโต๊ะกลม
และเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของอาเธอร์

อาเธอร์หนุ่มถึงกับสยองขวัญ เพราะยายแก่หลังโกงเหม็นก็เหม็น
มีฟันเหลือซี่เดียว ตัวก็เหม็นเหมือนถังส้วม
ชอบทำเสียงประหลาดน่ารังเกียจ
เขาปฏิเสธที่จะให้เพื่อนรักแต่งงานกับหล่อน

ฝ่ายกาเวนพอได้รับรู้ถึงข้อเสนอนั้น เขายอมแต่งงาน
เพื่อชีวิตของอาเธอร์ และการดำรงอยู่ของอัศวินโต๊ะกลม

และยายแม่มดก็ให้คำตอบต่อคำถามของอาเธอร์
'สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ ก็คือการได้เป็นตัวของตัวเอง'
ทุกคนทราบได้ทันทีว่าแม่มดได้กล่าวอมตะวาจาอันยิ่งใหญ่
และอาเธอร์ก็รอดพ้นจากการประหารแน่นอน
และก็เป็นเช่นนั้นจริง


แต่ทว่า....งานแต่งงานของกาเวนกับนังแม่มดช่างเหลือรับจริงๆ
กาเวนสง่าผ่าเผยเช่นปกติทั้งสุภาพอ่อนน้อม
ส่วนฝ่ายนังแม่มดเฒ่านั้นออกลายนิสัยเลวสุดเดช

ทั้งกินมูมมามด้วยสองมือ ทั้งเรอ ทั้งตด
ทุกผู้คนต่างรู้สึกอึดอัด และ
แล้วยามค่ำของวันส่งตัวก็มาถึง

กาเวนได้ปลอบตนเองพร้อมรับคืนสยองเขาก้าวเขาสู่ห้องนอนวิวาห์

ช่างไม่เชื่อสายตาตนเอง!!!!

ในห้องหอกลับมีหญิงสาวแสนสวยที่สุดที่เขาไม่เคยพบพานนอนรออยู่เบื้องหน้า
กาเวนงุนงง ???? สาวแสนสวยเฉลยว่า

เพราะกาเวนช่างแสนดีกับหล่อน (เมื่อยามเป็นแม่มด)
ดังนั้นครึ่งหนึ่งของวัน เธอจะอยู่ในสภาพพิกลพิการน่า
รังเกียจส่วนอีกครึ่งหนี่งของวัน เธอจะอยู่ในร่างแสนสวยนี้

กลางวันเขาอยากให้เธอเป็นแบบไหน กลางคืนอยากให้เป็นแบบไหน?

เป็นคำถามที่ช่างโหดร้าย!!! กาเวนเริ่มคิดไตร่ตรอง
หญิงสาวสวยยามกลางวันเพื่ออวดต่อเพื่อนฝูง
แต่กลางคืนเมื่ออยู่สองต่อสอง เป็นยายแม่มด?

หรือว่าเขาควรจะเลือกยายแม่มดตอนกลางวัน
แล้วได้สาวสวยเพื่อเริงระบำยามค่ำคืนดี??
เป็นคุณหล่ะ
คุณจะเลือกอย่างไร ???
(กรุณาหยุดคิดสักนิดเมื่อตัดสินใจได้แล้ว ค่อย scroll ลงไปอ่านนะ )

V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
เอาละ..

เมื่อได้คำตอบของคุณแล้ว
อ่านคำตอบของกาเวนที่อยู่
ข้างล่างนี้ กาเวนตอบว่า
'เขาขอมอบให้เธอเป็นผู้ติดสินใจเลือกเอง'
เมื่อเธอได้ยินดังนั้น เธอ
จึงประกาศก้องว่าเธอจะสวยตลอดเวลา
เพราะเขาได้ให้ความเคารพและให้เธอเป็นตัวของตัวเอง
นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า...

1. ผู้หญิงไม่ว่าจะสวยหรือจะน่าเกลียด ลึกๆ ข้างในเธอก็คือ แม่มด
2. ผู้หญิงจะกลายร่างเป็นแม่มด หรือเป็นสาวแสนสวยเมื่อไหร่นั้นขึ้นอยู่กับ
    "ความประพฤติของผู้ชาย"

Valentine's Day


                กุมภาพันธ์เป็นเดือนที่อบอวลไปด้วยความสุขการแสดงถึงความรัก ความห่วงใยถึงคนที่ เราปรารถนาดีและอยากให้เขามีความสุข และเป็นที่รับรู้กันทั่วโลกว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันแห่งความรักหรือ Valentine’s Day และวันนี้ยังมีคิวปิด หรือกามเทพ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของ วันวาเลนไทน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คิวปิดเป็นบุตรของวีนัสและมาร์ส แต่ ชาวกรีกเรียกคิวปิดว่า อีรอส ภาพของ คิวปิดที่มนุษย์โลกปัจจุบันได้รู้จักก็คือภาพเด็กน้อยที่ถือคันธนูและลูกศร มีหน้าที่ยิงศรรักให้ปักใจคน ปัจจุบัน คิวปิดและธนูของเขากลายมาเป็น เครื่องหมายแห่งความรักที่เป็นที่รู้จัก มากที่สุด และความรักของเขามีกล่าวถึงบ่อยในภาพของ การยิงศรรัก ระหว่าง หัวใจสองดวงให้รักกัน เรียกกันว่า ศรรักคิวปิด เราจึงมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยว กับประวัติความเป็นมาและความสำคัญ ของวันนี้กันค่ะ


           เทศกาลวาเลนไทน์ เริ่มมีขึ้น ตั้งแต่ยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ในยุคนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถูกจัดให้เป็นวันหยุดเพื่อเป็นเกียรติแต่เทพเจ้าจูโนผู้เป็น จักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน นอกจาก นี้แล้วพระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่ง อิสตรีเพศและการแต่งงานและในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาล เฉลิมฉลองแห่งลูเพอร์คาร์เลีย การ ดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวจะ ถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ในรัชสมัยของ จักรพรรดิคลอดิอัส ที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่ง กรุงโรม พระองค์ ทรงเป็นกษัตริย์ที่มี ใจคอดุร้ายและทรงนิยม การ ทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วม ในกองทัพเนื่องจากไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโอง การสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและ แต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง และขณะนั้น มีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ ร่วมมือกับเซนต์มาริอัสจัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนา ดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับและระ หว่างนี้ก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เป็น ความเชื่อว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิง สาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับ สุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine” 

           วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูก เก็บไว้ที่โบสถ์ พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุม ศพของวาเลนตินัส แด่ผู้เป็น ที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทน แห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มา จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเบื้อง หลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะ เป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคง แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความ กล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมาย ของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจ เลยว่าในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลอง เทศกาลแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือก หญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

              วาเลนไทน์ ในแต่ละประเทศจะมีประเพณีหรือการ ปฏิบัติที่แตกต่างกันบ้าง แต่โดยรวมแล้ว จะมีการเฉลิมฉลองและเป็นการแสดงถึง ความรักที่มีระหว่างกัน ต่อมาเมื่อความ เจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทางด้าน การพิมพ์เข้ามาเกี่ยวข้องมีการพิมพ์บัตร อวยพรโดยเข้ามาแทนที่จดหมายที่ เขียนด้วยลายมือ และปัจจุบันก็มีการส่ง บัตรอวยพรทางออนไลน์เพื่อแสดงถึงความ ก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วย ให้คนที่ต้องการแสดงความรักความห่วงใย ถึงคนที่รักได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ประวัติ วันวาเลนไทน์นี้ เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมา จนถึงปัจจุบัน เท่าที่ค้นหามาได้นี้เป็นเพียง หนึ่งในหลายๆเรื่องเท่านั้น แต่ไม่ว่าประวัติ ที่แท้จริง จะเป็นอย่างไรก็ตาม ใน ปัจจุบัน นี้เราได้ถือว่าวันวาเลนไทน์เป็น วันสำคัญวันหนึ่งในประวัติศาสตร์เลยที เดียว คุณสามารถส่งดอกไม้ ขนมและ การ์ด เพื่อบอกความนัยให้แก่คนพิเศษ ของคุณ วันนี้จะเป็นวันที่เราส่งความสุขดีดีให้แก่กัน



วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553


Dino-Lite กล้องจุลทรรศน์พกพา รางวัลยอดเยี่ยมโลก


ตามจารีตประเพณีของไทยแต่โบราณ ถือเอาวันแรมหนึ่งค่ำ เดือนอ้าย (เดือนหนึ่ง) เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับคติทางพระพุทธศาสนา ที่เริ่มฤดูหนาว (เหมันต์) เป็นจุดเริ่มต้นของปีต่อมา จารีตดังกล่าวได้แปรเปลี่ยนไปตามคติของพราหมณ์ ซึ่งใช้วันขึ้นหนึ่งค่ำเดือนห้าเป็นวันขึ้นปีใหม่ ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดเป็นการนับวัน เดือน ปี แบบจันทรคติ คือการใช้การโคจรของดวงจันทร์เป็นเกณฑ์
ต่อมาเมื่อทางราชการเปลี่ยนมาใช้แบบสุริยคติ คือใช้ดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์ จึงได้ถือเอา วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ เริ่มใช้เมื่อปี พ.ศ. 2432
วันขึ้นปีใหม่ของนานาอารยประเทศ ใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งเป็นการนับตามสุริยคติ เมื่อประเทศไทยซึ่งเดิมใช้วันแรมหนึ่งค่ำ เดือนอ้าย ของไทย เป็นวันขึ้นปีใหม่ นับว่าเป็นห้วงระยะเวลาใกล้เคียง กับวันที่ 1 มกราคม จึงเห็นว่าการที่ใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยเป็นการเหมาะสมดังนี้
ตามทางดาราศาสตร์ การกำหนดอาศัยหลัก 2 ประการ คือ ใช้หลักวันที่ดวงอาทิตย์ อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุด ซึ่งจะตกประะมาณ วันที่ 22 ธันวาคม อีกประการหนึ่งใช้หลักวันที่ดวงอาทิตย์ อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากที่สุด ซึ่งจะตกประมาณวันที่ 20 มีนาคม ประเทศไทยเคยใช้หลักประการแรกมาก่อน คือใช้เดือนอ้าย แรมหนึ่งค่ำ ซึ่งใกล้เคียงกับวันที่ 22 ธันวาคม
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ได้ทรงอธิบายไว้เป็นใจความว่า ฤดูหนาวเป็นเวลาที่พ้นจากมืดฝน สว่างขึ้นเหมือนเวลาเช้า โบราณจึงถือเป็นต้นปี ฤดูร้อนเป็นเวลาสว่างเต็มที่เหมือนเวลากลางวัน โบราณจึงถือเป็นกลางปี ส่วนฤดูฝนเป็นห้วงเวลาที่มืดครื้ม เหมือนกลางคืน โบราณจึงถือเป็นปลายปี จึงได้เริ่มเดือนหนึ่งที่เดือนอ้าย และไทยโบราณถือการเริ่มข้างแรมเป็นต้นเดือน
มีผู้ค้นพบว่า คติที่นับวันใดวันหนึ่งในห้วงระยะเวลาระหว่างวันที่ 21 เดือนธันวาคม ถึงวันที่ 1 เดือนมกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่นี้ เป็นคติเก่าแก่ของชนชาติที่อยู่ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ หรือสุวรรณภูมิ ด้วยเหตุผลที่พออธิบายได้ว่าในระยะเวลาดังกล่าวนี้ เป็นเวลาที่แลเห็นดวงอาทิตย์มีขนาดโตที่สุด และเป็นเวลาที่อากาศเริ่มเย็นสบาย หลังจากที่หมดฤดูฝนแล้ว ประเทศไทยเราอยู่ในย่านกลางของพื้นที่ดังกล่าว จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชาติไทยเราได้มีวันขึ้นปีใหม่ตามคติดังกล่าวมาแต่โบราณกาล
จากการตรวจสอบในห้วงระยะเวลา 30 ปี จากปี พ.ศ. 2453 ถึงปี พ.ศ. 2483 พบว่าวันแรมหนึ่งค่ำ เดือนอ้าย เมื่อเทียบกับวันทางสุริยคติแล้วจะอยู่ในเดือนธันวาคม และส่วนใหญ่จะอยู่ห่างจากวันที่ 1 มกราคม ไม่เกิน 10 วัน ห่างกันมากที่สุด 30 วัน และห่างน้อยที่สุดเพียง 2 วัน เท่านั้น
อินเดียในสมัยโบราณก็ได้เคยใช้วันที่ 1 เดือนมกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่มาแล้ว เรียกว่ามกรสงกรานต์ การที่อินเดียในยุคต่อมาใช้เดือนจิตรมาส หรือเดือนเมษายน เป็นต้นปีนั้น มีที่มาจากฝ่ายเหนือของอินเดีย เพราะในพื้นที่บริเวณดังกล่าว เดือนเมษายนเป็นเดือนที่ลมฟ้าอากาศดีที่สุด มติได้แผ่เข้ามายังชนชาวไทย โดยพราหมณ์นำเข้ามาอิทธิพลของลัทธิพราหมณ์ในครั้งนั้น สูงมากพอจนทำให้ไทยเราหันไปใช้ตามแบบ พราหมณ์ในหลาย ๆ เรื่อง รวมทั้งวันขึ้นปีใหม่ด้วย โดยนับเดือนห้าเป็นต้นปี ทำให้เราต้องขึ้นปีใหม่ 2 ครั้ง คือขึ้นหนึ่งค่ำ เดือนห้า และวันสงกรานต์ ซึ่งจะเลื่อนไปมาในแต่ละปีไม่แน่นอน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ทรงเห็นความลำบากในกรณีดังกล่าว เมื่อไทยต้องมีการติดต่อกับ ต่างประเทศมากขึ้น ดังนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2432 วันขึ้นหนึ่งค่ำ เดือนห้า ไปตรงกับวันที่ 1 เดือนเมษายน พอดี จึงได้มีประกาศบรมราชโองการ ให้ถือวันที่ 1 เดือนเมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยตั้งแต่นั้นมา
ประเทศไทยได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่มาเป็นวันที่ 1 เดือนมกราคม เมื่อปี พ.ศ. 2484 ด้วยเหตุผลทั้งมวลที่ได้กล่าวมาแล้ว และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ บรรดานานาประเทศ ได้ใช้วันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ ทำให้สมประโยชน์แก่ประเทศไทยด้วยประการทั้งปวง
 
ความหมายความหมายของวันขึ้นปีใหม่ ตามพจนานุกรม ฉบับราชตบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า " ปี" ไว้ดังนี้ ปี หมายถึง เวลา ชั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน : เวลา 12 เดือนตามสุริยคติ

ความเป็นมา
ในอดีต วันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน

การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา

อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นในกรุงเทพฯเป็นครั้งแรก



การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆ มา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการจัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์

ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการเป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็น วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป
เหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็คือ
1. ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ
2. เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา
3. ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก
4. เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย

กิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ได้แก่
1. การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่างๆที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ
2. การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตรอวยพร
3. การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่างๆ

วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นใน
อดีตให้ดีขึ้

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553